เทศน์เช้า วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมเป็นสัจธรรม สัจจะ อริยสัจจะนะ อริยสัจจะเพื่อชีวิต เพื่อจิตดวงนี้
จิตดวงนี้มันโง่เขลาเบาปัญญา มันโดนกิเลสครอบงำของมัน เกิดมาแล้วเห็นเขาร่ำเขารวย เขามียศถาบรรดาศักดิ์ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันมีมาแต่ตั้งเดิมไง พอมีมาแต่ดั้งเดิม เกิดมาด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา มันอยากจะมีลาภมียศอย่างเขา แล้วถ้ามีลาภมียศอย่างเขา ดูเวลาคนตายสิ ไอ้คนที่ลาภยศสูงๆ เวลามันตาย ครอบครัวนี้สั่นคลอนไปหมดเลย
แต่เวลาของเรา คนที่มีคุณธรรมในหัวใจ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา นี่ธรรมะแสดงตัวแล้ว ธรรมะมาแสดงให้เห็น ธรรมะมาแสดงให้เห็น
ถ้าธรรมะมาแสดงให้เห็น เวลามีชีวิตขึ้นมา สิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือชีวิตของเราๆ ถ้าชีวิตของเรา ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงในหัวใจของตน มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจของตน
ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจของตน หัวใจของตนมีอริยสัจ มีสัจจะความเป็นจริง มีคุณธรรมในใจของตน มีอัตตสมบัตินะ มันจะมีชีวิตอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไง
พระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ สอนลงที่หัวใจของคน
มันจะร่ำจะรวย จะมั่งมีศรีสุข ยศถาบรรดาศักดิ์จะสูงต่ำแค่ไหนนั่นเป็นอำนาจวาสนาของคน แต่คนที่ในใจที่มีคุณธรรมๆ สูงส่ง ต่ำต้อย ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน เขาก็มีความสุขของเขา ความสุขในหัวใจ ความสุขในหัวใจอันนั้นน่ะสำคัญมาก
เราไปวัดไปวาขึ้นมา วัดไม่ใช่ตลาด เวลาไปตลาดแย่งชิงต่อรองราคากันวุ่นวายไปหมดเลย เสียงอึกทึกครึกโครม
เวลาวงกรรมฐานเรา ครูบาอาจารย์ของเรา ส่วนใหญ่เวลามีการมีงานมาจะพูดด้วยความภูมิใจไง ดูสิ คนมากมายมหาศาล แต่สงบ ไม่มีเหตุ ไม่มีการกระทบกระเทือนกัน
คนมากมายมหาศาล แต่เขานิ่ง เขามีความสงบของเขา เขามีความสงัดในใจของเขา เขาไม่อึกทึกครึกโครมไง ไม่ใช่ตลาด ไม่ใช่สวนจตุจักร ไม่ใช่สนามหลวง ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องโลกๆ ไง
แต่เวลาคนเข้ามาในวัดขึ้นมามันก็มีขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน เวลาเด็กเล็กเด็กแดงขึ้นมาเขาก็ไปวัดไปวาของเขา มันเป็นไปตามวัยๆ ไง ถ้ามันเป็นไปตามวัย วัยรุ่นพลังงานมันเหลือใช้ มันก็แสดงออกเป็นเรื่องธรรมชาติของมัน
แต่ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจของมันนะ มันรู้จักของมันนะ มันจะมีความละอายใจของมัน ถ้ามันมีความละอายใจ เวลาสำนึกได้ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ เวลาขอโทษขึ้นมา เพราะจิตใจของเราพอมันได้รับรสของธรรม รสของธรรมด้วยความสงบสงัด มันมีความสุขมีความสงัดอันละเอียดลึกซึ้งนัก
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านวิเวกไปอยู่ในป่าในเขา
เขาว่า ทำไมต้องไปในป่าในเขา เอ็งไม่แน่จริงนี่หว่า เอ็งแน่จริงเอ็งก็ปฏิบัติที่นี่สิ
ปฏิบัติที่นี่ก็เทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ไง มีแต่ขาหมูไง มีแต่ขาหมูชิ้นใหญ่ๆ ไง มีแต่เป็ดย่างไฟแดงไง
เอ็งไม่แน่จริงหว่า
เอ็งแน่จริงนี่หว่า เอ็งก็อยู่ในบ้านในเมืองสิ ในบ้านในเมืองถ้าทำได้จริงก็สาธุ
แต่ชีวิตของเรานะ เราเห็นคุณค่าของในชีวิตของเรา ชีวิตของเรา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วชีวิตนี้เราเกิดมาเรามีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันในหัวใจของเรา ถ้าเราไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันในหัวใจของเรา เราจะต้องขวนขวายแสวงหาของเรา การแสวงหา การขวนขวายในใจของเรา เราค้นหาใจของเรา
เวลาครูบาอาจารย์ท่านธุดงค์ๆ ไป ธุดงค์ไปเพื่ออะไร ก็ธุดงค์ไปเพื่อหาใจของตน
ใจของตนอยู่กับร่างกายเรานี้ เราเกิดมาจากพ่อจากแม่เราก็มีชีวิตมาตั้งแต่เกิด เวลามีชีวิตมาตั้งแต่เกิด เรามีคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหน เรามีสติสัมปชัญญะระลึกรู้ถึงชีวิตของเรามากน้อยแค่ไหน เราจะเพลิดเพลินไปกับแสงสีเสียงกับโลกอยู่อย่างนั้น แล้วโลกอย่างนั้นเขาชักจูงกันไป เห็นไหม แล้วชักจูงกันไป เรามีเสียงเดียว เสียงเดียวเราจะไปทัดทานโลกเขาอย่างไร เราทัดทานโลกเขาไม่ได้ เราแสวงหาของเรา เราหาที่สงบสงัดของเรา เห็นไหม
เวลาไปอยู่คนเดียวขึ้นมา อยู่คนเดียวระวังความคิดของตนไง เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปแล้ว อู๋ย! มันมีเมตตา สงสารเขาไปทั่วโลกสงสารนะ
เวลามันอยู่บ้านอยู่เรือน เวลามันอยู่ในสังคม มันมีแต่การแข่งขันชิงดีชิงชั่ว มันไม่เคยคิดว่าอะไรเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์เลย มันไม่คิดเมตตา ไม่คิดถึงใครเลย เวลามันออกไปป่าไปเขาขึ้นมา ความคิดมันจะสงสารคนนั้น สงสารคนนี้ เพราะมันแยกตัวออกไปแล้วมันจะเห็นหมดเลยว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรและอะไรไม่ควร
แต่เวลามันคลุกคลีอยู่ในสังคม มันมีอะไรควรหรือไม่ควร มันมีอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ เสียศักดิ์ศรี สู้เขาไม่ได้ จะต้องแข่งขัน จะต้องทำลาย จะต้องทำลาย เห็นไหม
มนุษย์ เวลาทำลายกันทำลายด้วยสมองนะ ทำลายกันด้วยมารยาสาไถยนะ สัตว์เวลามันทำลายกัน อย่าเผลอเท่านั้นน่ะ เผลอมันตบ ตะปบทีเดียวเป็นอาหารของมันเท่านั้นน่ะ
เวลาสัตว์มันทำร้ายด้วยเขี้ยวเล็บ ทำร้ายด้วยสัญชาตญาณเท่านั้น จะสู้หรือจะหนี จะอยู่หรือจะตาย แต่เวลาคนเราทำลายกัน มันทำลายกันเจ็บช้ำแล้วเจ็บช้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ นั่นมนุษย์เขาทำกันไง
แต่เวลาเรามีสติมีปัญญาของเรา เราแยกตัวของเราไป ไปที่สัปปายะ พอแยกตัวไปที่สัปปายะมันได้มีสำนึกรู้สึกนึกคิดนะ ห่วงคนนู้น ห่วงคนนี้ รักคนนู้น รักคนนี้ รักเขาไปหมดเลย
แต่เมื่อก่อนมึงทำไมไม่รัก
นี่ไง อยู่คนเดียวระวังความคิด เวลาเข้าไป เข้าไปอยู่คนเดียวก็เพื่อหาหัวใจของตนไง เวลาหัวใจของตนมันอยู่คนเดียวแล้วมันเป็นสิทธิเสรีภาพที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของเราแล้ว เราไม่ต้องอาศัยพึ่งพาใครทั้งสิ้น เราอาศัยศีล อาศัยสติ อาศัยสมาธิ ปัญญาของเราเท่านั้น ที่จะรักษาดูแลหัวใจของเรา มันจะว้าเหว่ มันจะวิเวก มันจะวังเวงขนาดไหน อันนั้นก็เป็นกรรมของสัตว์
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาท่านไปอยู่ของท่านนะ ท่านรื่นเริง ท่านอาจหาญของท่าน เออ! ต้องการสภาวะแบบนี้เพื่อค้นคว้าหาหัวใจของตนๆ เห็นไหม นี่ไง มันไม่ใช่ตลาด มันเป็นที่สงบสงัด มันเป็นที่ควรแก่การงาน
เวลามันควรแก่การงาน ควรแก่การงานก็กระทำขึ้นมาสิ เวลาเราบวชมาแล้วสำคัญตน ยกย่องสรรเสริญว่าเราเป็นลูกศิษย์ของกรรมฐานๆ เราเป็นพระป่าๆ
ในพระไตรปิฎกเราค้นคว้ามาหมด พระบ้านเขาทำสิ่งใด พระป่าต้องทำมากกว่าสองเท่า แล้วเวลาเขาเรียนจบ ๙ ประโยค เขาเรียนขึ้นมา หลวงตาท่านเรียนมา ๓ ประโยค ท่านบอกเรียนหนังสือขึ้นมา จำๆๆ จนสมองมันทื่อหมดเลย จำจนมันจำไม่ได้ จำจนมึนตึ้บเลย แล้วเวลาพรุ่งนี้จะสอบ ท่องแล้วท่องเล่า ท่องแล้วท่องเล่า นี่ไง แต่เวลาเป็นพระป่า พระกรรมฐานต้องเรียนมากกว่าเขาสองเท่า
อยู่ในพระไตรปิฎก มีคนเข้าไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า สิ่งใดที่ว่าเป็นพระป่า ธรรมกถึก ทำอย่างไร
เขาบอกว่าพระป่าต้องทำมากกว่าพระบ้านสองเท่า พระบ้านเขาเรียนศึกษาขนาดไหน เขาเรียนด้วยตำรับตำรา เราก็เรียนด้วยตำรับตำรา เรียนมาจากอุปัชฌาย์อาจารย์ กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ต้องมีสติปัญญาแทงทะลุมันให้ได้ แต่เรียนมาแล้ว เวลาศึกษาเรียนบุพพสิกขา มหาขันธ์ มีการศึกษา ในวินัยมุขก็ค้นคว้าขวนขวาย
คนจะทำงานไม่มีอะไรทำงาน หลวงตาท่านสอนประจำนะ เราจะไปสู้กับเสือมือเปล่าใช่ไหม เข้าป่าไปไม่มีสิ่งใดจะไปต่อสู้กับสือเลย ไปมีแต่ความเสียวสันหลัง
เวลาเราจะสู้กับเสือ เขาก็มีอาวุธของเขาใช่ไหม เราจะสู้กับเสือมือเปล่า เราก็ไปเป็นเหยื่อมันเท่านั้นน่ะ แต่ถ้าเราสู้กับเสือเราก็ต้องมีอาวุธของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ให้เลย ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา
เวลาเราจะสู้กับเสือในใจของเรา เราจะสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา เราจะเอาอะไรไปสู้มันล่ะ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่กับเราไง เรากำลังจะประพฤติปฏิบัติไง กิเลสมันครอบคลุมในหัวใจทั้งหมดไง เราก็เป็นกิเลสไปทั้งหมดเลย เลยไม่รู้อะไรเลย แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้กับเสือ ก็เสือมันตะปบหัวอยู่นี่ เสือมันเหยียบหัวใจอยู่นี่ เอาอะไรไปสู้กับมันไง
เวลาศึกษามาแล้ว ขอนิสัยๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัว เวลาอยู่กับท่านบนศาลา นั่นน่ะเวทีการต่อสู้เลย นั่นฝึกหัดสติขึ้นมา ฝึกหัดสติขึ้นมา นี่เรียนถ่ายทอดกันโดยการมีคติธรรมเป็นตัวอย่าง เรียนโดยการถ่ายทอดกันโดยที่ครูบาอาจารย์ท่านทำเป็นตัวอย่าง
ครูบาอาจารย์ที่ดีงาม หัวรถจักรที่ดีงาม ท่านปกป้องคุ้มครองดูแลลูกศิษย์ของท่าน ถ้ามีสิ่งใดมา กิเลสมันครอบงำหัวใจลูกศิษย์ของท่าน บิณฑบาตมา นู่นก็ดี นี่ก็ดีนั่นน่ะ ท่านให้เสียสละ ท่านให้การกระทำ ท่านเตือน ท่านบอก ท่านบอกว่า นั่นแหละกิเลสมันเหยียบหัวแล้ว
นี่ไง ท่านยื่นอาวุธให้ ยื่นอาวุธให้ไง พระป่า พระป่าประพฤติปฏิบัติตามแต่ครูบาอาจารย์ที่ทำเป็นตัวอย่าง เป็นคติเป็นแบบอย่าง ท่านทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นให้เห็นๆ
ไม่ใช่สอนมึงนะ แต่ห้ามมองกู ไม่ได้นะ ถ้ามองแล้วเสื่อมหมดเลย ต้องยกอาจารย์ไว้บนหัว แล้วเราก็มานั่งก้มตาทำไป
แต่ครูบาอาจารย์เราไม่ใช่ เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดนะ หมู่คณะนะ หมู่คณะมันบวชใหม่มาด้วยกันก็เป็นนวกะมาด้วยกัน เป็นผู้ฝึกหัดมาทั้งสิ้น ถ้าเป็นผู้ฝึกหัดมาทั้งสิ้น กิเลสมันเต็มหัวใจ เสือตัวใหญ่ๆ เสือโคร่ง ๓ วา ๘ วา มันตะปบหัวใจอยู่นะ อย่าโต้แย้งกัน อย่างเถียงกันมากนัก ให้มองท่านเป็นตัวอย่าง
ท่านบอกเลย “ให้มองเราเป็นตัวอย่าง” คือมององค์หลวงตาพระมหาบัวเป็นตัวอย่าง คำว่า “ตัวอย่าง” ท่านทำเป็นตัวอย่างนะ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันจะโต้แย้ง มันจะขัดแย้ง มันจะมีปัญหาไปตลอด
แล้วธรรมดา เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติทุกคนจะบอกเลย เมื่อก่อนเป็นคนดี๊ดี พอมาประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้เป็นคนขี้โกรธ เดียวนี้หูมันไวมากเลย
ชวนะมันไวไง คนที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่ไม่แสวงหา ไม่ต้องการสิ่งใด ของสิ่งนั้นก็ไม่มีค่า ช่างเขาก็สงวนแต่เครื่องมือช่างของเขา ใครมีอาชีพสิ่งใดเขาก็สงวนสิ่งที่ทำเพื่ออาชีพของเขา
เวลาพระปฏิบัติขึ้นมา มันมีศีลขึ้นมา มันมีสมาธิขึ้นมา หูตามันไวมาก มันขุ่นข้องหมองใจอะไรทั้งสิ้น อยู่คนเดียวมันก็จุ๊บจิ๊บๆ มันจะล่อเขาอย่างเดียวเลย
ฉะนั้นบอกว่า อย่าไปเทียบอย่าไปเคียงกัน ให้มองเราเป็นตัวอย่าง ให้มองเราเป็นตัวอย่าง นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำ ท่านทำเป็นตัวอย่างนะ
ทีนี้เวลาบวชมาแล้วเราจะไปสู้กับเสือ เอาอะไรไปสู้
เราก็ศึกษา พระป่า พระกรรมฐาน ดูหลวงปู่มั่นท่านค้นแล้วค้นอีก ค้นจนมาปรึกษาเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านค้นทั้งสิ้น
เพราะเราปฏิบัติไป เราเชื่อเราได้ขนาดไหน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ใครไม่ค้นคว้า ทุกคนค้นคว้าทั้งสิ้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในวัดท่านค้นคว้าพระไตรปิฎกทั่วไปหมด ใครก็ศึกษาได้ ใครก็เรียนได้ พอเรียนขึ้นมาแล้ว นี่ไง อาวุธที่จะไปสู้กับมัน
เราได้อาวุธมา ได้อาวุธมาทั้งการศึกษา นี่ไง พระกรรมฐาน พระป่าต้องเรียนมากกว่าเขาถึงสองเท่า
วินัยธร วินัยธรเขาท่องบ่นกัน ต่อเป็นคำๆ จากมุขปาฐะสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระกรรมฐานจะออกประพฤติปฏิบัติ จะออกประพฤติปฏิบัติไปขอกรรมฐานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มุขปาฐะก็ศึกษา เราก็ศึกษาๆ มากกว่าเขาสองเท่าๆ แล้วสองเท่าศึกษามาแล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมา นี่ไง ศึกษาแล้วมาปฏิบัติไง
สองเท่าๆ ศึกษาด้วย ๑ ปฏิบัติอีก ๑ เป็น ๒ เท่า พระพรรมฐานต้องศึกษามากกว่าเขาสองเท่า ไอ้ที่ศึกษามาๆ เขาจบแล้ว จบแล้ว มีความรู้มาก ใบลานเปล่า โล่งเปล่า เปล่าประโยชน์ ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย ศึกษามาไว้สอนคน ศึกษามาไว้เผยแผ่ศาสนา กิเลสตัวเบ้อเริ่มเทิ่มเลย กิเลสมันเหยียบตายเกลี้ยงเลย มีแต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแวววาว แต่หัวใจเรามีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลาย
แต่พระกรรมฐานๆ ธรรมกถึกๆ ไง ศึกษามาแล้วประพฤติปฏิบัติ ทำมากกว่าเขาสองเท่า ศึกษาแล้วมาประพฤติปฏิบัติขวนขวายของเรา การกระทำของเราในหัวใจเราขึ้นมา ถ้าหัวใจเราขึ้นมา ศึกษามากกว่าสองเท่า พระกรรมฐาน พระป่า ด้วยความภูมิอกภูมิใจ ภูมิอกภูมิใจด้วยการเดินจงกรม ภูมิอกภูมิใจด้วยการนั่งสมาธิภาวนา ภูมิอกภูมิใจด้วยจิตที่สงบระงับเข้ามา ภูมิอกภูมิใจว่าสิ่งที่ศึกษามา ศีล สมาธิ ปัญญา ศึกษามาทั้งหมดเลย เวลามันเป็นในใจ โอ้โฮ! โอ้โฮ! อึ๊ก! ทั้งนั้นน่ะ
เวลาเจอกิเลส โอ้โฮ! กิเลสเป็นอย่างนี้ อ๋อ! มันไม่เหมือนที่เราเรียนมาเลย มันไม่เหมือนกับศึกษามาเนาะ
ศึกษาบอกเลย กิเลสมันตัวน่าเกลียดน่ากลัว กิเลสมันทำลาย ความโลภมันทำลาย ยักษ์ใหญ่ ยักษ์มาร เวลาคนโกรธ โกรธมันเป็นเจ้าวัฏจักร มันทำให้คนนั้นหน้าแดง ทำให้ทำลายเขา ไอ้คนหลงก็หลงจนมันเซ่อซ่า โดนให้เขาหลอกเขาลวง ไอ้คนโลภก็อยากจะเอาของเขาๆ กิเลสมันครอบงำ เห็นไหม เวลากิเลสมันครอบงำ นั่นเขาว่าของเขาไง ไม่เคยเห็นไง ได้แต่เรียนมา
เวลาหลวงตาท่านไปเจออวิชชา อวิชชาเป็นเจ้าวัฏจักร เป็นพญามาร ท่านบอกว่ามันสวยยิ่งกว่านางสาวจักรวาล
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส
ความผ่องใส ความเวิ้งว้าง ความพลังงานอันละเอียดอันนั้นอวิชชาทั้งนั้น จิตผ่องใสคืออวิชชา
กว่าจะเข้าไปถึงอวิชชาได้ มันต้องสลัดตั้งแต่ลูกตั้งแต่หลานมันมา สลัดมันมา ปอกเปลือกมันมา ทำลายมันมา ทำลายลูก ทำลายหลาน ทำลายเจ้าวัฏจักร ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำลายมาทั้งสิ้น เวลาเข้าไปเจออวิชชา ไปยอมจำนนกับอวิชชา
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ตัวเองแน่ ตัวเองยิ่งใหญ่ มันว่าง มันสว่าง อู๋ย! มันยอดเยี่ยม...ไปตายกับอวิชชาทั้งสิ้น
ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อาวุธไว้ทั้งหมด อาวุธก็ศึกษามาทั้งนั้น ศึกษาสองเท่าสามเท่าขึ้นมาขนาดไหนก็ไม่เท่าทันกิเลสในใจของตน เพราะมันเป็นเรา ความเป็นเรา ความยึดมั่นถือมั่น ความรู้ความเห็น ความว่าฉันอลังการ ฉันยอดฉันเยี่ยม ฉันมหัศจรรย์ แล้วมันก็มหัศจรรย์จริงๆ
ดูสิ เวลาทานอาหาร อาหารที่มีรสชาติดี อาหารที่เอร็ดอร่อย อร่อยไหม อร่อย จิตใจที่มันไปเจอสัจจะไปเจอความจริงที่มันได้สัมผัสมันอร่อยไหม อร่อย มันดีไหม ดี ดีแล้วก็คือจบไง
แต่เวลากินอาหารแล้วมันต้องกินซ้ำกินซากใช่ไหม นี่อาหารเพราะว่าร่างกายเราต้องการอาหาร แต่จิตใจของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วไปรู้ไปเห็นสิ่งใด มันก็ได้สัมผัสของมัน แต่ไม่ใช่
มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
มโน ตัวมันเอง ตัวจิตเดิมแท้มันก็น่าเบื่อหน่าย
มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
มโนสัมผัส ความสัมผัส ความสว่าง ความสไว ความเวิ้งว้าง ความมหัศจรรย์ มันก็น่าเบื่อหน่าย เพราะอะไร เพราะเราทำเกือบตายกว่ามันจะสว่างสไว กว่ามันจะเวิ้งว้างขนาดนั้น แล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาเป็นอารมณ์ปกติอีกแล้ว
มันเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมอยู่อย่างนั้นน่ะ มันน่าเบื่อหน่ายไหมล่ะ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังมันจะอยู่กับเราตลอดไปสิ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังมันต้องพิสูจน์ได้สิ นี่เวลาถ้าเป็นจริงๆ เห็นไหม
แต่ถ้าเป็นจริงไปยอมจำนนกับมันหมด ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติน่ะ แล้วไอ้นกแก้วนกขุนทองมันไม่รู้ด้วย ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีทาง
คำว่า “ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีทาง” เพราะอะไร เพราะการทรงจำธรรมวินัยไง ปริยัติเรียนมาอย่างเดียว ถ้าเป็นพระป่าต้องเรียนมากกว่าเขาสองเท่า ในพระไตรปิฎกชัดๆ เลย
อะไรคือกรรมฐาน อะไรคือธรรมกถึก อะไรคือผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติมันต้องมีอะไรไปปฏิบัติ ปฎิบัติต้องทำมากกว่าโดยพระธรรมชาติสองเท่าสามเท่า
เขาศึกษามาจบ เขาก็จบแล้ว ศึกษามาท่องได้ก็จบ สอบจบก็คือจบ แล้วก็มีใบประกาศไว้ยืนยัน ศึกษามา จำมา มันก็เป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่อย่างนั้นน่ะ มันเป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาได้ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วมันเข้าใจทะลุปรุโปร่ง
ผลของวัฏฏะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จุตูปปาตญาณ จิตที่ยังเพิกกิเลสตัณหาความทะยานอยากไม่ได้ มันต้องไปเกิดอนาคตกาลไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน อาสวักขยญาณ เวลาชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิชชา ๓ ชัดเจน ชัดๆ มันถึงตอบเรื่องศาสนา ตอบเรื่องชีวิตคน ตอบเรื่องวัฏฏะ เทวดา อินทร์ พรหมยังมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า มาสอบมาถามเรื่องจิตใจตลอด
นี่ไง ผลความจริงๆ วิมาร สิ่งที่เป็นวิมาร สิ่งที่เป็นที่อยู่อาศัยมันก็แค่ทิพย์สมบัติเท่านั้นแหละ ทิพย์สมบัติ สมบัติของเราต่างๆ มันต้องพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้ามีชีวิต พรหมก็มีชิวิต เทวดาก็มีชีวิต สัตว์โลกก็มีชีวิต ภูตผีปีศาจก็มีชีวิต สัตว์เดรัจฉานก็มีชีวิต
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน ไม่มี ไม่มี ผลของวัฏฏะ ถ้าผลของวัฏฏะ แล้วเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เห็นไหม แล้ววิวัฏฏะล่ะ
นี่ไง ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พระกรรมฐานที่ภูมิอกภูมิใจว่าเป็นพระปฏิบัติไง พระปฏิบัติมันต้องรู้แจ้ง รู้แจ้งเห็นจริงสัจจะความจริงขึ้นมา
เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน เราไปวัดไปวาไปด้วยความสงบสงัด ไปด้วยความเคารพธรรม ไม่ใช่ไปตลาด ไม่ใช่ไปห้างสรรพสินค้า ต่อรองราคา หยิบฉวยแย่งชิง เข้าคิวไม่ทันตบตีกัน ใครอยากแซงหน้าแซงหลัง ไอ้นั่นมันตลาด นั่นคือศรัทธาใหม่ ศรัทธาของโลกเขา
ภูมิใจนัก ลูกศิษย์กรรมฐาน ภูมิใจนักว่าเรามีคุณธรรม ภูมิใจนักว่าวัดของเรามันมีความสงบสงัด แล้วเอ็งทำอะไรกันอยู่ ทำให้สงบสงัดหรือไม่ มันเป็นความจริงหรือไม่
นี่คือสัจธรรม ถ้าเป็นสัจธรรม ถ้ามันเป็นคุณธรรมในใจขึ้นมา เราจะทำคุณงามความดีของเราๆ ได้มากได้น้อยแค่ไหนมันเป็นปัจจัตตัง เป็นอัตตสมบัติ เป็นกิริยาในใจ กิริยาคือการกระทำ มันออกมาจากหัวใจคนคนนั้นแหละ คนคนนั้นใจสูงใจต่ำ ใจเป็นความจริงไม่เป็นความจริง การแสดงออกนั้นแหละมันแสดงออกมาจากใจ มันแสดงออกมาจากจริตนิสัย มันแสดงออกมาจากเจตนาในใจดวงนั้น เอวัง